สมุนไพรรักษาโรคเก๊า สมุนไพรไทยช่วย รักษา อาการ โรคเกาต์ เรามีคำตอบคลิ๊กทางนี้
มะรุม เป็นพืชสมุนไพรที่มีสรรพคุณในหลายด้าน เช่น ราก จะมีรสเผ็ด หวาน ขม แก้อาการบวม บำรุงไฟธาตุ เปลือก จะมีรสร้อน ช่วยขับลม ใบ ช่วยแก้เลือดออกตามไรฟัน แก้อักเสบ ดอก ช่วยบำรุงร่างกาย ขับปัสสาวะ ขับน้ำตา ฝัก รสหวาน แก้ไข้หรือลดไข้ เป็นต้น
ส่วนที่ใช้ : เปลือกต้น ราก ฝัก ใบ เนื้อในเมล็ด สรรพคุณ :
ฝัก - ปรุงเป็นอาหารรับประทานแก้ไข้หัวลม เปลือกต้น - มีรสร้อน รับประทานเป็นยาขับลมในลำไส้ ทำให้ผายหรือเรอ คุมธาตุอ่อนๆ (ตัดต้นลมดีมาก)
ราก - มีรสเผ็ด หวานขม แก้บวม บำรุงไฟธาตุ มีคุณเสมอกับกุ่มบก - แก้พิษ ฝี แก้ปวด แก้อักเสบ แพทย์ตามชนบท ใช้เปลือกมะรุมสดๆ ตำบุบพอแตกๆ อมไว้ข้างแก้ม แล้วรับประทานสุราจะไม่รู้สึกเมาเลย
จากประสบการณ์ เนื้อในเมล็ดมะรุม ใช้แก้ไอได้ดี ใบสดมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ มีแคลเซียม วิตามินซี แร่ธาตุและสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก การรับประทานเนื้อในเมล็ด และใบสดเป็นประจำสามารถเพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกายได้
ข้อควรระวัง ในคนที่เป็นโรคเลือด G6PD ไม่ควรรับประทาน
"มะรุม" มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Moringa oleifera Lam. วงศ์ Moringaceae เป็นพืชกำเนิดแถบใต้เชิงเขาหิมาลัย เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางที่ถูกปลูกไว้ในบริเวณบ้านไทยมาแต่โบราณ กินได้หลายส่วน ทั้งยอด ดอก และฝักเขียว แต่ใครๆ ก็นิยมกินฝักมากกว่าส่วนอื่นๆ ต้นมะรุมพบได้ทุกภาคในประเทศไทย ทางอีสานเรียก ผักอีฮุม หรือผักอีฮึม ภาคเหนือเรียก มะค้อมก้อน ชาวกะเหรี่ยงแถบกาญจนบุรีเรียก กาแน้งเดิง ส่วนชานฉานแถบแม่ฮ่องสอนเรียก ผักเนื้อไก่ เป็นต้น
ผู้เฒ่าผู้แก่นิยมกินมะรุมในช่วงต้นหนาวเพราะเป็นฤดูกาลของฝักมะรุม หาได้ง่าย รสชาติอร่อยเพราะสดเต็มที่ มีขายตามตลาดในช่วงฤดูกาล คนที่ปลูกมะรุมไว้ในบ้านเท่านั้นจึงจะมีโอกาสลิ้มรสยอดมะรุม ใบอ่อน ช่อดอกและฝักอ่อน ช่อดอกนำไปดองเก็บไว้กินกับน้ำพริก ยอดมะรุม ใบอ่อน ช่อดอก และฝักอ่อนนำมาลวกหรือต้ทให้สุก จิ้มกับน้ำพริกปลาร้า น้ำพริกแจ่วบอง กินแนมกับลาบ ก้อย แจ่วได้ทุกอย่าง หรือจะใช้ยอดอ่อน ช่อดอกทำแกงส้มหรือแกงอ่อมก็ได้
ส่วนอื่นๆ ของโลกจะใช้ใบมะรุมประกอบอาหารเช่นเดียวกับการใช้ผักขมฝรั่ง หรือปรุงเป็นซอสข้นราดข้าวหรืออาหารแป้งอื่นๆ นอกจากนี้ ใช้ใบตากแห้งป่นเก็บไว้ได้นานโรยอาหาร เช่นเดียวกับที่ภูมิปัญญาอีสานจังหวัดสกลนครใช้ใบมะรุมแห้งปรุงเข้าเครื่อง ผงนัว กับสมุนไพรอื่นไว้แต่งรสอาหารมาแต่โบราณ ส่วนฝักอ่อนปรุงอาหารเหมือนถั่วแขก
คุณค่าทางอาหารของมะรุม มะรุมเป็นพืชมหัศจรรย์ มีคุณค่าทางโภชนาการสูงสุด กล่าวถึงในคัมภีร์ใบเบิ้ลว่าเป็นพืชที่รักษาทุกโรค ใบมะรุมมีโปรตีนสูงกว่านมสด 2 เท่า การกินใบมะรุมตามชนบทของประเทศกำลังพัฒนาและประเทศโลกที่ 3 เป็นการเพิ่มโปรตีนคุณภาพสูงราคาถูกให้กับอาหารพื้นบ้าน นอกจากนี้ มะรุมมีธาตุอาหารปริมาณสูงเป็นพิเศษที่ช่วยป้องกันโรค นั่นคือ
วิตามินเอ บำรุงสายตามีมากกว่าแครอต 3 เท่า วิตามินซี ช่วยป้องกันหวัด 7 เท่าของส้ม แคลเซียม บำรุงกระดูกเกิน 3 เท่าของนมสด โพแทสเซียม บำรุงสมองและระบบประสาท 3 เท่าของกล้วย ใยอาหารและพลังงาน ไม่สูงมากเหมาะกับผู้ที่ควบคุมน้ำหนักอีกด้วย น้ำมันสกัดจากเมล็ดมะรุม มีองค์ประกอบคล้ายน้ำมันมะกอกดีต่อสุขภาพอย่างยิ่ง
จากอาหารมาเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพ ปัจจุบันชาวญี่ปุ่นผลิตชาใบมะรุมออกจำหน่ายผลิตภัณฑ์ระบุว่าใช้แก้ไขปัญหาโรคปากนกกระจอก หอบหืด อาการปวดหูและปวดศรีษะ ช่วยบำรุงสายตา ระบบทางเดินอาหาร และช่วยระบายกาก ประเทศอินเดีย หญิงตั้งครรภ์จะกินใบมะรุมเพื่อเสริมธาตุเหล็ก แต่ที่ประเทศที่ฟิลิปปินส์และบอสวานาหญิงที่เลี้ยงลูกด้วยนมจะกินแกงจืดใบมะรุม (ภาษาฟิลิปปินส์ เรียก มาลังเก) เพื่อประสะน้ำนมและเพิ่มแคลเซียมให้กับน้ำนมแม่เหมือนกับคนไทย
ประโยชน์ของมะรุม 1.ใช้รักษาโรคขาดอาหารในเด็กแรกเกิดถึง 10 ขวบ และลดสถิติการเสียชีวิต พิการ และตาบอดได้เป็นอย่างดี 2.ใช้รักษาผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานให้อยู่ในภาวะควบคุมได้ 3.รักษาโรคความดันโลหิตสูง 4.ช่วยเพิ่มและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย ทานผลิตผลจากมะรุมในระหว่างตั้งครรภ์ เด็กที่เกิดมาจะไม่ติดเชื้อHIV นอกจากนี้ถ้ารับประทานอย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 ครั้งยังช่วยให้คนทั่วๆไปสามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง 5.ช่วยรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์ให้อยู่ในภาวะควบคุมได้ การรักษาโรคเอดส์ที่ประสพผลสำเร็จในกลุ่มประเทศแอฟริกา 6.ถ้ารับประทานสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นโรคมะเร็ง แต่ถ้าหากเป็นก็จะช่วยให้การรักษาพยาบาลง่ายขึ้น ในบางกรณีสามารถหยุดการเจริญเติบโตของโรคร้ายได้ ถ้าใช้ควบคู่ไปกับยาแพทย์แผนปัจจุบัน หากผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งได้รับการรักษาด้วยรังสี การดื่มน้ำมะรุมจะช่วยให้การแพ้รังสีฟื้นตัวเร็วขึ้นและมีร่างกายที่แข็งแรง 7.ช่วยรักษาโรคไขข้ออักเสบ โรคเก๊าท์ โรคกระดูกอักเสบ โรคมะเร็งในกระดูก โรครูมาติซั่ม 8.รักษาโรคตาเกือบทุกชนิด เช่น โรคตามืดตามัวเพราะขาดสารอาหารที่จำเป็น โรคตาต้อ เป็นต้น หากรับประทานสม่ำเสมอ จะทำให้ตามีสุขภาพที่สมบูรณ์ 9.รักษาโรคลำไส้อักเสบ โรคเกี่ยวกับท้อง ท้องเสีย ท้องผูก โรคพยาธิในลำไส้ 10.รักษาปอดให้แข็งแรง รักษาโรคทางเดินของลมหายใจ และโรคปอดอักเสบ 11.เป็นยาปฏิชีวนะ
น้ำมันมะรุม สรรพคุณ..ใช้หยอดจมูกรักษาโรคภูมิแพ้ ไซนัสโรคทางเดินหายใจ ใช้หยอดหูฆ่าและป้องกันพยาธิในหู รักษาอาการเยื่อบุหูอักเสบ รักษาโรคหูน้ำหนวก ใช้ทาผิวหนังรักษาโรคผิวหนังจากเชื้อราและเชื้อไวรัส รักษาโรคเริม งูสวัด รักษาและบำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื้น ใช้ทารักษาแผลสด หูด ตาปลา ใช้ถูนวดบรรเทาอาการบริเวณที่ปวดบวมตามข้อ รักษาโรคไขข้ออักเสบ เก๊าท์ รูมาติก เป็นต้น
ชะลอความแก่ กล่าวกันว่ามะรุมมีฤทธิ์ชะลอความแก่ เนื่องจากยังไม่พบรายงานการวิจัยเกี่ยวกับมะรุมในด้านนี้ คาดว่าเป็นการสรุปเนื่องจากมะรุมมีสารฟลาโวนอยด์สำคัญคือ รูทินและเควอเซทิน (rutin และ quercetin) สารลูทีนและกรดแคฟฟีโอลิลควินิก (lutein และ caffeoylquinic acids) ซึ่งต้านอนุมูลอิสระ ดูแลอวัยวะต่างๆ ได้แก่ จอประสาทตา ตับ และหลอดเลือดจากการเสื่อมสภาพตามอายุ การกินสารต้านอนุมูลอิสระชะลอการเสื่อมสภาพในเซลล์ร่างกาย
ฆ่าจุลินทรีย์ สารเบนซิลไทโอไซยาเนตโคไซด์และเบนซิลกลูโคซิโนเลตค้นพบในปี พ.ศ. 2507 จากมะรุมมีฤทธิ์ต้านจุลชีพ สนับสนุนการใช้น้ำคั้นจากมะรุมหยอดหูแก้ปวดหู ปัจจุบันหลังจากค้นพบแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร Helicobactor pylori กำลังมีการศึกษาสารจากมะรุมในการต้านเชื้อดังกล่าว
การป้องกันมะเร็ง สารเบนซิลไทโอไซยาเนตไกลโคไซด์ชนิดหนึ่งและสารไนอาซิไมซิน (niazimicin) จากมะรุมสามารถต้านการเกิดมะเร็งที่ถูกกระตุ้นโดยสารฟอบอลเอสเทอร์ในเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวได้ การทดลองในหนูพบว่าหนูที่ได้รับฝักมะรุมเป็นอาการเกิดโรคมะเร็งผิวหนังจากการกระตุ้นน้อยกว่ากลุ่มทดลอง โดยกลุ่มที่กินมะรุมเนื้องอกบนผิวหนังน้อยกว่ากลุ่มควบคุม
ฤทธิ์ลดไขมันและคอเลสเทอรอล จากการทดลอง 120 วัน ให้กระต่ายกินฝักมะรุม วันละ 200 กรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวันเทียบกับยาโลวาสแตทิน 6 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวันและให้อาหารไขมันมาก
ใบมะรุม 100 กรัม (คุณค่าทางโภชนาการของอาหารอินเดีย พ.ศ. 2537) พลังงาน 26 แคลอรี โปรตีน 6.7 กรัม (2 เท่าของนม) ไขมัน 0.1 กรัม ใยอาหาร 4.8 กรัม คาร์โบไฮเดรต 3.7 กรัม วิตามินเอ 6,780 ไมโครกรัม (3 เท่าของแครอต) วิตามินซี 220 มิลลิกรัม (7 เท่าของส้ม) แคโรทีน 110 ไมโครกรัม แคลเซียม 440 มิลลิกรัม (เกิน 3 เท่าของนม) ฟอสฟอรัส 110 มิลลิกรัม เหล็ก 0.18 มิลลิกรัม แมกนีเซียม 28 มิลลิกรัม โพแทสเซียม 259 มิลลิกรัม (3 เท่าของกล้วย)
ทั้งนี้ กลุ่มที่กินมะรุมและยามีคอเลสเทอรอลฟอสโฟไลพิด ไตรกลีเซอไรด์ VLDL LDL ปริมาณคอเลสเทอรอลต่อฟอสโฟไลพิด และ atherogenic index ต่ำลง ทั้ง 2 กลุ่มมีการสะสมไขมันในตับ หัวใจ และหลอดเลือดแดงใหญ่ (เอออร์ตา) โดย กลุ่มควบคุมปัจจัยด้านการสะสมไขมันในอวัยวะเหล่านี้ไม่มีค่าลดลงแต่อย่างใด กลุ่มที่กินมะรุมพบการขับคอเลสเทอรอลในอุจจาระเพิ่มขึ้น ผู้วิจัยจึงสรุปว่าการกินมะรุมมีผลลดไขมันในร่างกาย ที่ประเทศอินเดียมีการใช้ใบมะรุมลดไขมันในคนที่มีโรคอ้วนมาแต่เดิม การศึกษาการกินสารสกัดใบมะรุมในหนูที่กินอาหารไขมันสูงมีปริมาณคอเลสเทอรอลในเลือดลดลงอย่างมีนัยสำคัญเทียบกับกลุ่มควบคุม นอกจากนี้กลุ่มทดลองมีปริมาณไขมันในตับและไตลดลง สรุปว่าการให้ใบมะรุมเพื่อลดปริมาณไขมันทางการแพทย์อินเดียสามารถวัดผลได้ในเชิงวิทยาศาสตร์จริง
ฤทธิ์ป้องกันตับ งานวิจัยการให้สารสกัดแอลกอฮอล์ของใบมะรุมกรณีทำให้ตับหนูทดลองเกิดความเสียหายโดยไรแฟมไพซิน พบว่าสารสกัดใบมะรุมมีฤทธิ์ป้องกันตับ โดยมีผลกับระดับเอนไซม์แอสาเทตอะมิโนทรานสเฟอเรส อะลานีน ทรานมิโนทรานสเฟอเรส อัลคาไลน์ฟอสฟาเทส และบิลิรูบินในเลือด และมีผลกับปริมาณไลพิดและไลพิดเพอร์ออกซิเดสในตับ โดยดูผลยืนยันจากการตรวจชิ้นเนื้อตับ สารสกัดใบมะรุมและซิลิมาริน (silymarin กลุ่มควบคุมบวก) มีผลช่วยการพักฟื้นของการถูกทำลายของตับจากยาเหล่านี้
เอกสารอ้างอิง:
Natures Medicine Cabinet by Sanford Holst The Miracle Tree by Lowell Fuglie LA times March 27th 2000 article wrote by Mark Fritz. http://www.pubmed.gov/. (Search for Moringa) (Antiviral Research Volume 60, Issue 3, Nov. 2003, Pages 175-180: Depts. of Microbiology, Pharmaceutical Botany, Pharmacology, Faculty of Pharmaceutical Science, Chulalongkorn University, Bangkok.
นิตยสารหมอชาวบ้านปีที่ 29 ฉบับที่ 338 มิถุนายน 2550
อีกหนึ่งเรื่องเล่าเกี่ยวกับโรคเก๊า
โรคเก๊าท์เป็นโรคทางกรรมพันธุ์ เกิดจากความผิดปกติในการใช้สารพวกพิวรีน ทำให้เกิดสารยูริคสูงในเลือด และจะสะสมในข้อโดย
เฉพาะข้อเล็กๆ เช่น ข้อนิ้วเท้า ข้อนิ้วมือ ทำให้เกิดอาการปวด บวม แดง ร้อน ในข้อ การใช้ยารักษาโรคเกาท์จะช่วยทำให้อาการของโรคดีขึ้นและช่วยขับกรดยูริคออกจากร่างกาย แต่การทานอาหารที่ถูกต้องจะช่วย
บรรเทาให้อาการลดลง และไม่กำเริบบ่อย หลักในการจัดอาหารสำหรับผู้ป่วยโรคเก๊าท์ มีดังนี้
1. ทานอาหารที่มีพิวรีนน้อยหรือไม่มีพิวรีน ได้แก่ นม ไข่ ฯลฯ งดเว้นอาหารที่มีพิวรีนมาก เช่น เครื่องในสัตว์ ปลาซาร์ดีน ฯลฯ
หลีกเลี่ยงอาหารที่มีพิวรีนปานกลาง เช่น สัตว์ปีก อาหารทะเล อาหารที่ปรุงไม่ควรใส่ผงชูรส หลีกเลี่ยงอาหารทอด น้ำต้มเนื้อ เช่น
ก๊วยเตี๋ยวน้ำ 2. ในคนที่อ้วนควรลดน้ำหนัก โดยทานอาหารให้มีพลังงานต่ำประมาณวันละ 1,200 1,500 แคลอรี 3. ควรจำกัดอาหารที่มีไขมันสูง เพราะอาจกระตุ้นให้อาการกำเริบได้ ควรงดเครื่องดื่มพวกโกโก ช็อคโกแลต ควรทานนมพร่องมัน
เนย 4. งดการดื่มสุรา ส่วนกาแฟอาจทานได้บ้างพอประมาณ 5. ควรทานผักใบเขียวที่มีธาตุเหล็กสูง เพื่อทดแทนธาตุเหล็กที่ขาดเนื่องจากการงดทานเนื้อสัตว์
สมุนไพรรักษาโรคเก๊าจากหมอเมือง
โรคเก๊าท์ ชื่อนี้เรียกตามฝรั่ง เขียนเป็นภาษาฝรั่งว่า GOUT คือโรคปวดตามข้อต่อกระดูก ข้อนิ้ว ข้อเข่า ข้อเท้า ข้อศอก เป็นปุ่มเป็นปมและเจ็บปวดมาก โรคชนิดนี้แต่ก่อนพวกเราไม่ค่อยพบเห็นกัน จึงไม่มีชื่อเรียกในภาษาไทย แต่เดี๋ยวนี้เป็นกันเยอะ ไปทางไหนก็เจอ และมีคนป่วยประเภทนี้มาปรึกษาหมอเมืองมากเหลือเกิน ก็เล่าจากปากสู่ปากก็พากันมานั่นแหละ แม้หมอแพทย์บางท่านก็ไล่คนไข้ไปหาหมอเมืองก็มี ทั้งนี้เพราะเป็นที่รู้กันว่ายาสมัยใหม่ที่ใช้รักษาโรคนี้ให้หายขาดไม่มี หาหนังสือที่เขียนขายกันในท้องตลาดเกี่ยวกับโรคเก๊าท์ ท่านบอกเพียงว่าเกิดจากการมีกรดยูริคสะสมที่ข้อต่อจึงทำให้เกิดโรคนี้และบอกว่าเป็นโรคที่รักษาไม่ได้มีแต่รักษาให้บรรเทาความเจ็บปวด และต้องระวังรักษาเรื่องอาหารการกิน อย่ากินอาหารที่มีไขมันและโปรตีนมาก เพราะร่างกายจะเปลี่ยนโปรตีนเป็นกรดยูริคซึ่งจะไปสะสมเพิ่มในข้อต่อทั้งปวงแล้วทำให้เกิดการเจ็บปวดขึ้นมาอีก จึงทำให้คนเป็นโรคนี้ต้องอดกินอาหารที่ถูกปากถูกคอ
โรคนี้จะเกิดกับผู้ชายวัยกลางคนขึ้นไปเป็นส่วนมาก มีผู้หญิงเป็นกันบ้างไม่มากนัก ผู้ป่วยโรคนี้ก็จะป่วยเป็นโรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ โรคนิ่ว โรคเบาหวาน ความดันสูง และหัวใจ ค่อยทยอยตามกันมาก่อนบ้างหลังบ้าง ต้นเหตุของมันเกิดจากไตเสื่อมสมรรถภาพในการทำงานจึงไม่สามารถขับกรดยูริดและไขมันส่วนเกินออกจากร่างกายได้ การจะรักษาโรคนี้จึงต้องรักษาฟื้นฟูให้ไตกลับมีสมรรถภาพเหมือนเดิม โรคเก๊าท์ก็จะหายขาดได้ แต่ในขณะที่ไตมีพลังขึ้นมาขับล้างกรดที่สะสมในข้อต่อต่าง ๆ ผู้ป่วยจะเกิดความเจ็บปวดขึ้นเหมือนโรคกำเริบประมาณไม่เกินหนึ่งอาทิตย์ ถ้ากรดยูริคตามข้อลดลงอยู่ขั้นปกติเมื่อไรโรคก็หายเมื่อนั้น ถ้าผู้ป่วยพยายามกินยาหรืออาหารบำรุงรักษาไตให้ดีโรคเก๊าท์ก็จะไม่เกิดขึ้นอีก และสามารถรับประทานอาหารที่ถูกปากได้ทุกชนิด และไม่ต้องกลัวโรคไขมันในเลือดเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด แต่พึงระวัง อย่าดื่มสุราเมรัยบ่อยนัก เพราะไตจะเสื่อมอีก
การจะรักษาฟื้นฟูไตให้กลับมีสมรรถภาพดุจเดิมนั้นทางแพทย์แผนใหม่ไม่มียา นอกจากเปลี่ยนไตโดยเอาไตเทียมหรือไตคนตายมาเปลี่ยนให้ แต่ก็มีชีวิตอยู่ดูโลกได้ไม่นานนัก ทางแพทย์จีนเขาเก่ง เขามียารักษาโรคไตเสื่อม ไตวาย และมียาฟื้นฟูบำรุงไตให้กลับฟื้นเป็นปกติ ยาบำรุงที่เขาใช้คือเขากวางอ่อน นำมาขูดให้เป็นฝอยกินทุกวันไตก็จะฟื้นสภาพขึ้นมา เพราะในเขากวางอ่อนนั้นมีฮอร์โมนเพศชายซึ่งเป็นตัวรักษาฟื้นฟูสภาพไตให้แข็งแรงดุจเดิม แต่เขากวางอ่อนที่เขาใช้กันนั้นเป็นเขากวางจากถิ่นหนาวจัดเช่นไซบีเรียเป็นต้น จึงจะมีฮอร์โมนเพศสูง สามารถใช้ได้ดี ถ้าเป็นเขากวางในเขตร้อนจะได้ผลช้า แต่เขากวางอ่อนดังกล่าวก็แพงเกินที่คนธรรมดา ๆ อย่างเราจะซื้อมากินได้
สมุนไพรไทยรักษาได้ โชคดีที่ประเทศไทยเรามีสมุนไพรหลากหลายชนิด หมอเมืองเคยทดลองให้ผู้ป่วยโรคไตวายขั้นบวมทั้งตัวและนิมนต์พระมาให้ศีลเพื่อเตรียมตัวตายกินสมุนไพรกวาวเครือแดงก็กลับมีสุขภาพดีขึ้นตามลำดับจนหายเป็นปกติ และผู้ป่วยโรคไขมันในเลือดเลี้ยงหัวใจกินสมุนไพรกวาวเคือแดงก็มีอาการดีขึ้นตามลำดับจนหายเป็นปกติ ผู้ป่วยโรคเก๊าท์กินสมุนไพรชนิดนี้ก็หายเป็นปกติมาหลายคนแล้ว แต่ช่วงที่ไตขับกรดยูริกออกจากข้อนั้นจะทำให้เจ็บปวดทรมานมาก ผู้ป่วยต้องอดทนเพื่อจะได้หายอย่างยั่งยืน และท่านควรรับประทานสมุนไพรชนิดนี้ติดต่อกันสัก 6 เดือน ไตของท่านก็จะกลับแข็งแรงเหมือนคนหนุ่ม ต่อจากนั้นอะไร ๆ ที่มันเคยเสื่อมถอยหรือหดหายไปก็จะกลับมาหาท่านอีกครั้ง โบราณท่านจึงว่ากินสมุนไพรกวาวเครือแดงแล้วจะกลับเป็นหนุ่มสาวอีกครั้ง
เรื่องเล่าสมุนไพรรักษาโรคเก๊า สูตรยาสมุนไพรรักษาโรคเก๊า
ผมเพิ่งได้สูตรสมุนไพรแก้โรคเก๊าท์จากชาวบ้านมา ใครเป็นเอาไปลองดูนะครับ ส่วนผสม 1. กล้วยน้ำว้าสุก 1 กก. 2. มะเฟืองสุกรสเปรี้ยว 1 กก. 3. ลูกยอสุก 1 กก. 4. น้ำผึ้ง 1 กก. 5. น้ำสะอาด 1 กก. หรือ 1 ลิตร วิธีการ นำกล้วยสุกมาปอกเปลือก แล้วหั่นมะเฟืองสุกตามขวางเป็นชิ้นบาง ๆ และลูกยอสุก นำทั้งหมดใส่ลงไปในโหลดอง แล้วเอาน้ำผึ้ง และน้ำสะอาดใส่ลงไปคลุกเคล้าให้ทั่ว ปิดฝาแล้วหมักทิ้งไว้ 1 เดือน วิธีใช้ หลังจากหมักครบเดือนแล้ว นำมาดื่มโดยใช้น้ำเย็น1แก้ว ผสมกับน้ำสมุนไพร 1 ช้อนแกง (รสชาติจะเหมือนพวกเครื่องดื่มชูกำลัง) ดื่มทุกวัน ๆ ละแก้ว ไม่นานอาการโรคเก๊าท์จะทุเลาลง และผิวพรรณจะสดใส ดูเป็นหนุ่มขึ้นครับ
แนวความคิดในการรักษาโรคเก๊าแบบฉบับเรือนไทย
|